ยินดีต้อนรับเข้าสู่บล็อกของ วิลาวัลย์ กุกุดเรือ

ข่าว

วันศุกร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ปัจจัยที่ส่งเสริมพัฒนาการทางด้านเศรษฐกิจของอาฌาจักรอยุธยา

ปัจจัยที่ส่งเสริมพัฒนาการทางด้านเศรษฐกิจ ของอาณาจักรอยุธยา โครงสร้างทางเศรษฐกิจ อยุธยามีพื้นฐานทางเศรษฐกิจดี มาตั้งแต่แรกตั้งอาณาจักรเนื่องจากตั้งอยู่บริเวณที่ราบลุ่มดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำ ซึ่งเอื้ออำนวยต่อการทำการเกษตร และการค้ากับต่างประเทศ 1. เกษตรกรรม อยุธยาตั้งอยู่บริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ป่าสัก และลพบุรี พื้นดินมีความอุดมสมบูรณ์สูงและเหมาะต่อการเพาะปลูกโดยเฉพาะการปลูกข้าว ข้าวจึงเป็นผลิตผลที่สำคัญของอาณาจักร ในการปลูกข้าวนั้นประชากรส่วนใหญ่จะทำในลักษณะพอยังชีพมีการใช้เทคโนโลยีอย่างง่ายๆ โดยใช้แรงงานคนและสัตว์เป็นหลัก แต่เนื่องจากสภาพพื้นที่มีความเหมาะสมจึงมีผลผลิตค่อนข้างมากที่จะส่งส่วยให้กับรัฐซึ่งทางรัฐเองก็จะนำไปหาผลประโยชน์อีกทางหนึ่ง นอกจากข้าวแล้วประชากรยังมีการผลิตในทางการเกษตรอีกหลายประเภท เช่น ทำสวน ทำไร่ เลี้ยงสัตว์ และการประมง ซึ่งผู้ปกครองเอง ก็เห็นความสำคัญของการประกอบอาชีพเกษตรดังกล่าว จึงมีนโยบายสนับสนุนด้วยวิธีการต่างๆ เช่น สนับสนุนให้ราษฎรเข้าไปทำกินในที่ดินว่างเปล่า ตรากฎหมายคุ้มครองผลผลิตของราษฎร เป็นต้น กระบวนการผลิตทางการเกษตรนั้น ประชากรทั่วไปจะผลิตโดยใช้แรงงานครอบครัวและชุมชนตามประเพณีที่เคยปฏิบัติกันมา ส่วนการผลิตของพระมหากษัตริย์ ขุนนางจะผลิตโดยใช้การเกณฑ์แรงงานไพร่และทาส กระบวนการผลิตดังกล่าวก่อเกิดเป็นวัฒนธรรมของท้องถิ่นหลายประการ เช่น การลงแขก การประกอบพิธีกรรม พืชมงคล และการทำขวัญไร่นา เป็นต้น การเกษตรเป็นเศรษฐกิจหลักที่ทำให้อยุธยามีความรุ่งเรือง บ้านเมืองมีความเจริญก้าวหน้า ทำให้อยุธยาขยายอาณาเขตประเทศออกไปอย่างกว้างขวางและสามารถเอาชนะอาณาจักรน้อยใหญ่ในดินแดนสุวรรณภูมิได้ 2. อุตสาหกรรม ผลิตผลทางอุตสาหกรรมของอยุธยา ส่วนใหญ่ คือ อุตสาหกรรมในครัวเรือน ผลิตเครื่องใช้ไม้สอยอย่างง่ายๆ รวมไปถึงเครื่องครัวเรือนของชุมชนชั้นสูงและในราชสำนัก เช่น เสื้อผ้า เครื่องจักรสาน เครื่องเหล็ก เครื่องแกะสลัก เครื่องประดับ การผลิตเครื่องทองรูปพรรณ อุตสาหกรรมที่สำคัญอีกอย่างก็ คือ การทำเครื่องปั้นดินเผา เครื่องเคลือบ ดังปรากฏหลักฐานว่ามีการพบเตาเผาภาชนะหลายเตาในบริเวณ แม่น้ำน้อย นอกจากนี้มีอุตสาหกรรมการต่อเรือขนาดเล็ก และเรือขนาดใหญ่ เพื่อใช้บรรทุกสินค้า 3. การค้า จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ได้แสดงให้เห็นว่า อยุธยามีบทบาทสำคัญทั้งในแง่ของการเป็นอาณาจักรการค้า ซึ่งได้สร้างความมั่งคั่งให้กับอาณาจักรอย่างต่อเนื่องทั้งนี้เพราะสภาพที่ตั้งของอยุธยา เหมาะสมกับการค้าขายทั้งภายใจอาณาจักร และระหว่างประเทศ 3.1 การค้าขายภายในอาณาจักร ด้วยสภาพที่ตั้งของอยุธยาอยู่บริเวณใกล้ปากแม่น้ำเจ้าพระยา และอยู่บริเวณที่แม่น้ำสำคัญหลายสายไหลผ่าน ดังนั้นจึงเป็นชุมชนทางการค้าที่พ่อค้าจากหัวเมืองทางเหนือ จะนำสินค้าของป่ามาแลกเปลี่ยนกับสินค้าที่มาจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากพ่อค้าจีนที่เดินทางเข้ามาจอดเรือซื้อขายบริเวณปากน้ำเจ้าพระยาสินค้าเหล่านี้จะมีการค้าขายโดยผ่านพระคลังสินค้าซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐ ทำให้รัฐได้ผลประโยชน์จากการเป็นพ่อค้าคนกลางในการแสวงหาผลประโยชน์ดังกล่าว ความสำคัญของการค้าทำให้รัฐได้ส่งเสริมการค้าด้วยวิธีการต่างๆ ตลอดจนออกกฎหมายควบคุมการค้า เพื่อให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจดังกล่าวดำเนินไปได้ด้วยดี อย่างไรก็ตามแม้ว่าภาครัฐจะสนับสนุนการค้า แต่ประชากรทั่วไปก็ไม่ได้รับผลประโยชน์มากนักเนื่องจากยังคงค้าขายที่เน้นการแลกเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ที่ตนเองต้องการมากกว่าจะแสวงหากำไร และผลประโยชน์โดยตรง ดังนั้นผู้ที่ได้ประโยชน์จากการค้าจึงจำกัดอยู่เฉพาะขุนนาง เจ้านาย ตลอดจนชาวต่างชาติ ผู้ที่เข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ในเรื่องดังกล่าว 3.2 การค้าขายระหว่างประเทศ อยุธยานับว่ามีชัยภูมิเหมาะสมกับการค้าระหว่างประเทศเนื่องจากเป็นเมืองท่าที่อยู่กึ่งกลางเส้นทางการเดินเรือค้าขายระหว่างประเทศจีนกับประเทศอินเดีย ประกอบกับความเข้มแข็งของอำนาจทางการเมืองทำให้อยุธยาไม่มีคู่แข่งการค้าและยังเป็นศูนย์รวมของสินค้าจากเมืองท่าต่างๆ ที่อยู่ใต้อิทธิพลทางการเมืองของอยุธยาด้วยปัจจัยดังกล่าวทำให้อยุธยา กลายเป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างจีนกับอินเดีย สำหรับการค้าขายกับอยุธยากับประเทศในแถบเอเชีย อยุธยาจะค้าขายกับจีน และอินเดียเป็นหลัก นอกจากนั้นก็ค้าขายกับชาวอาหรับ เปอร์เซีย ส่วนการค้ากับต่างชาติตะวันตกนั้นโปรตุเกส เป็นชาติแรกที่เข้ามาติดต่อค้าขายกับอยุธยาราวพุทธศตวรรษที่ 21 ต่อจากนั้นก็ชาติอื่นๆ เช่น สเปน ฮอลันดา อังกฤษ และฝรั่งเศส เดินทางเข้ามาค้าขายซึ่งรุ่งเรืองมากในสมัยราชวงศ์ปราสาททอง แต่เมื่อถึงรัชสมัยของราชวงศ์บ้านพลูหลวง การค้ากับชาติตะวันตกก็ซบเซาลง การดำเนินกิจกรรมค้าขายกับต่างชาตินั้น รัฐจะเป็นผู้จัดการโดยหน่วยงาน “พระคลังสินค้า” ซึ่งมีกรมท่าซ้ายดูแลรับผิดชอบการค้ากับอินเดีย และชาติอาหรับ เปอร์เซีย ส่วนกรมท่าขวาดูแลค้าขายกับจีน และกรมท่ากลางค้าขายกับชาติตะวันตก หน่วยงานของรัฐจะดำเนินการค้าขายโดยการผูกขาดสินค้า คือ สินค้าบางอย่าง เช่น อาวุธ และสินค้าที่รัฐเห็นว่าจะขายต่อได้กำไรรัฐจะผูกขาดซื้อไว้ ส่วนสินค้าออก เช่น ข้าว และของป่า รัฐจะกำหนดให้เป็นสินค้าต้องห้ามต้องซื้อผ่านรัฐเท่านั้น การที่รัฐดำเนินธุรกิจแบบผูกขาดสินค้าและยังเรียกเก็บภาษี การค้าจากเรือของชาวต่างชาติ ทำให้รัฐบาลได้ผลประโยชน์อย่างมหาศาลจากกิจกรรมดังกล่าว (อดิสร ศักดิ์สูง. 2546 : 67 อ้างจาก ศุภรัตน์ เลิศพาณิชย์กุล 2532 : 297 – 301) จะเห็นได้ว่าการค้าส่งผลให้อยุธยามีความมั่นคงทางด้านเศรษฐกิจเกิดการขยายตัวของชุมชน การแลกเปลี่ยนสินค้า การพัฒนาทางด้านสังคม นำไปสู่ความมั่นคงเข้มแข็งของอาณาจักรอยุธยา เศรษฐกิจสมัยอยุธยา ความอุดมสมบูรณ์ของบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาตอนล่าง การมีแหล่งน้ำจำนวนมาก ดินมีความอุดมสมบูรณ์เพราะเกิดจากการทับถมของดินตะกอนแม่น้ำ ซึ่งเหมาะสำหรับการทำนา ทำให้อาณาจักรอยุธยาเป็นแหล่งเพาะปลูกที่สำคัญ นอกจากนี้การมีทำเลที่ตั้งที่เหมาะสมกับการค้าขายกับเมืองต่างๆ ที่อยู่ภายในตามเส้นทางแม่น้ำ และการค้าขายกับภายนอกทางเรือสำเภา ทำให้เศรษฐกิจอยุธยามีพื้นฐานสำคัญอยู่ที่การเกษตรและการค้ากับต่างประเทศ ต่อมาได้พัฒนาเป็นศูนย์กลางทางการค้าในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 1. เศรษฐกิจในสมัยอยุธยาเป็นเศรษฐกิจแบบยังชีพที่ขึ้นอยู่กับเกษตรกรรมเช่นเดียวกับสุโขทัย พื้นฐานทางเศรษฐกิจของอยุธยาคือการเกษตร มีวัตถุประสงค์ในการผลิตเพื่อบริโภคภายในอาณาจักรตามลักษณะเศรษฐกิจแบบพอยังชีพ แต่อาณาจักรอยุธยาได้เปรียบกว่าอาณาจักรสุโขทัยในด้านภูมิศาสตร์ เพราะอาณาจักรอยุธยาตั้งอยู่ในบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำอันกว้างใหญ่ แม่น้ำสำคัญคือ แม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำป่าสัก แม่น้ำลพบุรี ซึ่งมีน้ำตลอดปีสำหรับการเพาะปลูก พืชที่สำคัญคือ ข้าว รองลงมาได้แก่ พริกไทย หมาก มะพร้าว อ้อย ฝ้าย ไม้ผลและพืชไร่อื่นๆ ลักษณะการผลิตยังใช้แรงงานคนและแรงงานสัตว์เป็นหลัก ด้วยเหตุดังกล่าว อาณาจักรอยุธยาจึงได้ทำสงครามกับรัฐใกล้เคียงเพื่อครอบครองแหล่งทรัพยากรและกวาดต้อนผู้คนเพื่อนำมาเป็นแรงงานสำคัญของบ้านเมือง ราชอาณาจักรอยุธยาได้ทำนุบำรุงการเกษตรด้วยการจัดพระราชพิธีต่างๆ เพื่อให้เป็นสิริมงคลและบำรุงขวัญชาวนาให้มีกำลังใจ เช่น พระราชพิธีพิรุณศาสตร์ เป็น พิธีขอฝนให้ตกต้องตามฤดูกาล พระราชพิธีพืชมงคล เป็นพิธีการสร้างสิริมงคลให้กับชาวนาและแจกพันธุ์ข้าว เป็น พระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ เป็น พิธีลงมือจรดคันไถเป็นครั้งแรกเพื่อเป็นการเตือนว่าถึงเวลาทำนาแล้ว อาณาจักรอยุธยาไม่ได้สร้างระบบการชลประทานเพื่อส่งเสริมการเกษตร เนื่องจากมีแหล่งน้ำเพียงพอ ส่วนการขุดคลองทำขึ้นเพื่อเป็นเส้นทางการคมนาคม เพื่อประโยชน์ทางยุทธศาสตร์ และการระบายน้ำตอนหน้าน้ำเท่านั้น แม้ว่าอาณาจักรอยุธยา การเพาะปลูกยังเป็นแบบดั้งเดิมต้องพึ่งพาแรงงานคนและธรรมชาติเป็นหลัก แต่สภาพภูมิศาสตร์ที่อุดมสมบูรณ์ ทำให้ผลผลิตทางการเกษตรมีเหลือเป็นจำนวนมาก ผลผลิตทางการเกษตรเป็นสินค้าที่นำไปขายให้ชาวต่างประเทศ นำรายได้มาสู่อาณาจักร ดังปรากฏหลักฐานว่าอยุธยาเคยขายหมากให้จีน อินเดีย และโปรตุเกส ฝ้ายและมะพร้าวให้ญี่ปุ่นและมะละกา ในสมัยอยุธยาตอนปลายได้ขายข้าวให้ฮอลันดา ฝรั่งเศส มลายู มะละกา ชวา ปัตตาเวีย ลังกา จีน ญี่ปุ่น การเกษตรจึงเป็นรากฐานสำคัญทางเศรษฐกิจของอยุธยาและมีส่วนในการเสริมสร้างราชอาณาจักร อยุธยาให้เจริญรุ่งเรืองมาตลอดเวลา 417 ปี 2. อาณาจักรอยุธยาเป็นศูนย์กลางทางการค้าในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เนื่องจากทำเลที่ตั้งของอาณาจักรอยุธยาเอื้ออำนวยต่อการค้า กล่าวคือ ศูนย์กลางอาณาจักรตั้งอยู่ในทำเลที่เหมาะสมกับการค้า ทั้งภายในและภายนอกราชอาณาจักร กล่าวคือ กรุงศรีอยุธยามีแม่น้ำล้อมรอบทั้ง 3 ด้าน คือ แม่น้ำลพบุรี แม่น้ำป่าสัก และแม่น้ำเจ้าพระยา ทำให้อยุธยาใช้เส้นทางทางน้ำติดต่อกับแว่นแคว้นที่อยู่ภายในได้สะดวก เช่น สุโขทัย ล้านนา ล้านช้าง นอกจากนี้ที่ตั้งของราชธานีที่อยู่ไม่ห่างไกลปากน้ำหรือทะเล ทำให้อยุธยาติดต่อค้าขายทางเรือกับต่างประเทศที่อยู่ห่างไกลได้สะดวก และเมื่ออาณาจักรมีความเข้มแข็ง สามารถควบคุมการค้ารอบชายฝั่งทะเลอันดามัน และโดยรอบอ่าวไทย ซึ่งเป็นแหล่งที่พ่อค้าต่างชาติเดินทางมาค้าขายได้ ทำให้อยุธยาสามารถทำหน้าที่เป็นพ่อค้าคนกลางในการติดต่อค้าขายระหว่างจีน ญี่ปุ่นกับพ่อค้าต่างชาติอื่น ๆ กรุงศรีอยุธยาจึงเป็นศูนย์กลางที่สำคัญแห่งหนึ่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บทบาทสำคัญของอยุธยาทางการค้ามี 2 ประการ คือ เป็นแหล่งรวมสินค้าประเภทของป่าที่ต่างชาติต้องการและเป็นศูนย์กลางการค้าส่งผ่าน คือ กระจายสินค้าจากจีนและอินเดียสู่ดินแดนตอนในของภูมิภาค เช่น ล้านนา ล้านช้าง และส่งสินค้าจีนไปยังดินแดนต่างๆ ในมหาสมุทรอินเดีย และรวบรวมสินค้าจากดินแดนตอนในและจากดินแดนต่างๆ ในอินเดียไปขายต่อให้จีน สินค้าประเภทของป่า ได้แก่ สัตว์ป่าและผลผลิตจากสัตว์ป่า ไม้ เช่น ไม้ฝาง ไม้กฤษณา ไม้จันทร์หอม และพืชสมุนไพร เช่น ลูกกระวาน ผลเร่ว กำยาน การบูร เป็นต้น สินค้าเหล่านี้ได้จากดินแดนภายในอาณาจักรอยุธยา และดินแดนใกล้เคียง ผ่านทางระบบมูลนาย โดยแรงงานไพร่จะเป็นผู้หาแล้วส่งมาเป็น "ส่วย" แทนแรงงานที่จะต้องมาทำงานให้รัฐ บางส่วนได้มาด้วยการซื้อหาแลกเปลี่ยนกับราษฎรและอาณาจักรเพื่อนบ้าน แต่ส่วนใหญ่มาจากการเกณฑ์ส่วยจากหัวเมืองภายในอาณาจักร โดยเฉพาะในรัชสมัยพระบรมไตรโลกนาถที่ปฏิรูปการปกครองหัวเมือง ทำให้การเกณฑ์ส่วยรัดกุมมากกว่าเดิม และส่วนหนึ่งมาจากเมืองประเทศราชของอยุธยา นอกจากของป่าแล้ว สินค้าออกยังได้แก่ พริกไทย ดีบุก ตะกั่ว ผ้าฝ้าย และข้าว ส่วนสินค้าเข้าได้แก่ ผ้าแพร ผ้าลายทอง เครื่องกระเบื้อง ดาบ หอก เกราะ ฯลฯ การค้ากับต่างประเทศในสมัยอยุธยาส่วนใหญ่เป็นการส่งเรือสำเภาไปค้าขายกับดินแดนต่างๆ ที่สำคัญคือการค้ากับจีนภายใต้การค้าในระบบบรรณาการ ที่จีนถือว่าไทยเป็นเมืองขึ้นของจีน แต่อยุธยาเห็นว่าเป็นประโยชน์ทางการค้า เพราะทุกครั้งที่เรือของอยุธยาเดินทางไปค้าขายกับจีนจะนำ "ของขวัญ" ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสินค้าจากป่า เช่น นกยูง งาช้าง สัตว์แปลกๆ กฤษณา กำยาน เป็นต้น เป็นเครื่องราชบรรณาการไปถวายให้จักรพรรดิจีน ซึ่งจีนจะมอบของตอบแทน เช่น ผ้าไหม เครื่องลายคราม ซึ่งเป็นสินค้าราคาแพงเป็นการตอบแทน เรือสินค้าที่นำสินค้าไปค้าขายก็จะถูกละเว้นภาษีและได้รับการอนุญาตให้ค้าขายกับหัวเมืองต่างๆ ของจีนได้ นอกจากนี้อยุธยายังค้าขายกับหัวเมืองมลายู ชวา อินเดีย ฟิลิปปินส์ เปอร์เซีย และลังกา การค้าส่วนใหญ่จะดำเนินการโดยพระมหากษัตริย์ เจ้านาย และขุนนาง มีการค้าเอกชนบ้างโดยพวกพ่อค้าชาวจีนดำเนินการ ลักษณะการค้ากับต่างประเทศในสมัยอยุธยาตอนต้นยังเป็นการค้าแบบเสรี พ่อค้าต่างชาติยังสามารถค้าขายกับราษฎรได้โดยตรงไม่ต้องผ่านหน่วยงานของรัฐบาล แต่ก็มีลักษณะการผูกขาดโดยทางอ้อมในระบบมูลนาย หลังรัชสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 (พ.ศ. 2034-2072) การค้ากับต่างประเทศได้ขยายตัวเพิ่มขึ้น เพราะอยุธยาเริ่มมีการติดต่อค้าขายกับชาติตะวันตก เริ่มตั้งแต่ชาติโปรตุเกสใน พ.ศ. 2054 ต่อมาใน พ.ศ. 2059 อยุธยาได้ทำสัญญาทางพระราชไมตรีทางการค้ากับโปรตุเกส เป็นฉบับแรกที่อยุธยาทำกับประเทศตะวันตก จากนั้นก็มีชาติฮอลันดา (พ.ศ. 2142) สเปน (พ.ศ. 2141) อังกฤษ ในรูปบริษัทอินเดียตะวันออก บริษัทการค้าของฮอลันดา เรียกว่า V.O.C. ส่วนบริษัทการค้าของอังกฤษ เรียกว่า E.J.C. และฝรั่งเศสในสมัยพระนารายณ์มหาราช (พ.ศ. 2199-2231) การค้ากับต่างประเทศเจริญรุ่งเรืองมากที่สุดในสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ (พ.ศ. 2091-2111) มีการตรากฎหมายหลายฉบับเกี่ยวกับการค้าและจัดระบบผูกขาดทางการค้าให้เป็นระเบียบยิ่งขึ้น คือ มีการกำหนดสินค้าต้องห้าม ซึ่งเป็นสินค้าที่รัฐบาลโดยพระคลังสินค้าเท่านั้นที่จะผูกขาดซื้อขาย สินค้าขาเข้า ได้แก่ ปืนไฟ กระสุนดินดำ และกำมะถัน ส่วนสินค้าขาออก ได้แก่ นอระมาด งาช้าง ไม้กฤษณา ไม้จันทร์ ไม้หอม และไม้ฝาง ซึ่งต่อมาการค้าผูกขาดของรัฐ ได้เข้มข้นมากขึ้น สินค้าบางประเภท เช่น ถ้วยชาม ผ้าแดง ซึ่งเป็นสินค้าในชีวิตประจำวันก็เป็นสินค้าผูกขาดด้วยและมีการจัดตั้ง "พระคลังสินค้า" ให้รับผิดชอบดูแลการค้าผูกขาดของรัฐบาล พระคลังสินค้าจึงเป็นหน่วยงานสำคัญในระบบเศรษฐกิจไทยในสมัยอยุธยาสืบต่อมาจนถึงสมัยรัชกาลที่ 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ในปลายสมัยอยุธยา "ข้าว" ได้กลายเป็นสินค้าออกที่สำคัญแทนที่สินค้าจากป่า เนื่องจากเกิดทุพภิกขภัยอย่างรุนแรงในประเทศจีน ชาวจีนจึงขอให้พ่อค้าอยุธยานำข้าวไปขายให้จีนโดยลดภาษีให้ นอกจากนี้อยุธยายังขายข้าวให้ฮอลันดา ฝรั่งเศส หัวเมืองมลายู มะละกา ชวา ปัตตาเวีย ญวน เขมร มะละกา ลังกา และญี่ปุ่น การค้ากับต่างประเทศจึงเป็นพื้นฐานสำคัญของเศรษฐกิจอยุธยา ซึ่งนำความมั่งคั่งให้กลุ่มผู้ปกครอง ได้แก่ พระมหากษัตริย์ เจ้านาย และขุนนางอย่างมหาศาล 3. รายได้ของอยุธยา 1) รายได้ในระบบมูลนาย แรงงานจากไพร่ถือเป็นปัจจัยทางเศรษฐกิจที่สำคัญ รัฐบาลได้เกณฑ์ แรงงานจากไพร่ในระบบเข้าเดือนออกเดือน หรือปีละ 6 เดือน มาทำงานให้รัฐ เช่น การสร้างกำแพงเมือง ขุดคลอง สร้างวัด สร้างถนน เป็นต้น ไพร่ที่ไม่ต้องการทำงานให้รัฐก็สามารถจ่ายสิ่งของที่รัฐต้องการ เช่น มูลค้างคาว สินค้าป่า เรียกว่า "ส่วย" แทนการเกณฑ์แรงงานได้ ส่วยเหล่านี้รัฐจะนำไปเป็นสินค้าขายยังต่างประเทศต่อไป 2) รายได้จากภาษีอากร ภาษีอากรในสมัยอยุธยา มีดังนี้ - ส่วย คือ สิ่งของหรือเงินที่ไพร่หลวงจ่ายให้รัฐทดแทนการถูกเกณฑ์มาทำงาน โดยรัฐจะเป็นผู้กำหนดว่าท้องถิ่นใดจะส่งส่วยประเภทใด เช่น ส่วยดีบุก ส่วยรังนก ส่วยไม้ฝาง ส่วยนอแรด ส่วยมูลค้างคาว เป็นต้น - อากร คือ เงินที่เก็บจากผลประโยชน์ที่ราษฎรประกอบอาชีพได้ เช่น การทำนา จะเสียอากรค่านา เรียกว่า "หางข้าว" ให้แก่รัฐ เพื่อรัฐจะได้เก็บไว้เป็นเสบียงอาหารสำหรับกองทัพ ผู้ที่ทำสวนเสียอากรค่าสวนซึ่งคิดตามประเภทและจำนวนต้นไม้แต่ละชนิด นอกจากนี้ยังรวมถึงการได้รับสิทธิจากรัฐบาลในการประกอบอาชีพ เช่น การอนุญาตให้ขุดแร่ การอนุญาตให้เก็บของป่า การอนุญาตให้จับปลาในน้ำ การอนุญาตให้ต้มกลั่นสุรา เป็นต้น - จังกอบ คือ ค่าผ่านด่านขนอนทั้งทางบกและทางน้ำ โดยเรียกเก็บตามยานพาหนะที่บรรทุกสินค้า เช่น เรือสินค้าจะเก็บตามความกว้างของปากเรือตามอัตราที่กำหนด จึงเรียกว่า ภาษีปากเรือ ส่วนพ่อค้าแม่ค้าในท้องถิ่นมักเก็บในอัตราสิบชักหนึ่ง- ฤชา คือ เงินที่รัฐเรียกเก็บจากการให้บริการจากราษฎร เช่น การออกโฉนด หรือเงินปรับไหมที่ผู้แพ้คดีต้องจ่ายให้ผู้ชนะ เงินค่าธรรมเนียมนี้เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า "เงินพินัยหลวง" 3) รายได้จากต่างประเทศ ได้แก่ ผลกำไรจากการค้าเรือสำเภา ภาษีสินค้าขาเข้าและสินค้าขาออก สิ่งของที่ได้รับพระราชทานจากจักรพรรดิจีน บรรณาการจากต่างชาติที่เข้ามาติดต่อค้าขายกับอยุธยา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น